CEO OpenAI มองว่าคนรุ่นใหม่ที่หันมาพึ่งแชตบอทเพื่อขอคำแนะนำการใช้ชีวิตเป็นเรื่องที่ “เจ๋งดี”
ถ้าใครเคยดูภาพยนตร์เรื่อง Her มาก่อน ก็อาจจะรู้สึกว่าตอนนี้โลกเรากำลังจะกลายเป็นแบบนั้นไปเรื่อยๆ แล้ว สำหรับคนที่ไม่เคยดู ภาพยนต์จะกล่าวถึงเรื่องราวของชายคนหนึ่งที่พัฒนาความสัมพันธ์ที่ไม่ปกติกับ AI อย่างลึกซึ้ง ที่ดูเหมือนว่ามันจะเกิดขึ้นจริงแล้วในโลกปัจจุบัน และ Sam Altman CEO ของ OpenAI ก็มองว่าการใช้ ChatGPT แบบในหนังคือหนึ่งใน “การใช้งานที่เจ๋ง” ที่สุด
ในการประชุม Sequoia Capital AI Ascent เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมาคุณ Sam ถูกถามคำถามมากมายเกี่ยวกับ ChatGPT โดยมีบางคำถามที่โฟกัสถึงพฤติกรรมที่น่ากังวลอย่างมากของคนที่ใช้ AI แชตบอทในชีวิตประจำวัน
จากคำตอบของคุณ Sam ระหว่างช่วงถาม-ตอบ ดูเหมือนว่าเหล่าผู้พัฒนาเทคโนโลยี AI กำลัง “หลุด” จากความเป็นจริงไปเรื่อยๆ จนไม่เห็นว่าการพึ่งพาแชตบอทมากเกินไปนั้นเป็นปัญหาอะไร
“พวกเขาแทบจะไม่ตัดสินใจเรื่องสำคัญในชีวิตเลยถ้าไม่ได้ถาม ChatGPT ว่าควรทำยังไง”
คุณ Sam กล่าว พร้อมอ้างว่า ChatGPT รู้บริบททั้งหมดเกี่ยวกับทุกคนในชีวิตและสิ่งที่คุยกันไว้
CEO คนดังเปรียบเทียบว่า กลุ่มคนที่มีอายุ 30 ปีขึ้นไป มักจะใช้ ChatGPT เป็นทางเลือกแทน Google มากกว่า ซึ่งแม้จะยังมีความเสี่ยงเพราะ ChatGPT อาจให้ข้อมูลเท็จหรือบิดเบือน แต่ก็ยังไม่ถึงขั้น “ฝากชีวิต” ไว้กับ AI เหมือนคนรุ่นใหม่ๆ
แม้คำพูดของคุณ Sam จะฟังดูเหมือนล้อเล่น เช่นเดียวกับเคยพูดเล่นเรื่องใช้ WebMD แทนการไปหาหมอ แต่ถ้าระดับคนกุมบังเหียน OpenAI มองพฤติกรรมเช่นนี้ว่า “เจ๋ง” แบบนี้ก็ชวนให้กังวลถึงอนาคตไม่น้อย
เพราะสุดท้ายแล้ว AI ไม่ใช่คนที่มีตัวตนจริง มันไม่สามารถแทนที่ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ได้จริงๆ และไม่มีวันเข้าใจประสบการณ์ของมนุษย์ได้อย่างแท้จริง AI ทำได้แค่ “เลียนแบบ” และ “พูดซ้ำ” จากข้อมูลมหาศาลที่ถูกเทรนเข้าไปเท่านั้น
แม้ว่า AI จะรู้ข้อมูลครบทุกคนในชีวิตเรา (ซึ่งก็เป็นเรื่องชวนผวาและต้องมาถกกันในด้านความเป็นส่วนตัวอีกที) แต่มันไม่มีทางเข้าใจได้ว่าควรแก้ปัญหาความขัดแย้งอย่างไร เช่น ควรเดินหน้าต่อหลังจากเลิกกับแฟนไหม หรือจะรับมือกับเพื่อนร่วมงานที่น่าหงุดหงิดอย่างไร เพราะ AI ไม่ใช่มนุษย์ มันไม่มีความรู้สึก ไม่มีประสบการณ์จริง เป็นแค่รหัสที่ประมวลผลข้อความเท่านั้น
แน่นอนว่า พวกเราหลายคนก็เคยใช้ Google เพื่อหาคำแนะนำ จึงอาจมองว่าใช้ ChatGPT ก็ไม่ต่างกันเท่าไหร่นี่? แต่การ “ค้นหา”ผ่าน Google อย่างน้อยเราก็ยังรู้ว่าแหล่งข้อมูลมาจากไหน เราจะได้โอกาศพิจารณาข้อมูลนั้น หรือไปอ่าน Reddit ซึ่งเป็นความเห็นจากคนจริงๆ (แม้จะมีอะไรเพี้ยนๆบ้างในบางทีก็ตาม)
ตัวอย่างที่ไม่ดีจากการใช้ AI ก็มีเช่นกรณีจากเว็บ Rolling Stone ที่ผู้หญิงคนหนึ่งต้องยุติชีวิตแต่งงานเพราะสามีเริ่มหมกมุ่นกับทฤษฎีสมคบคิดที่เขาได้รับจาก AI จนเธอกล่าวว่า “มันเหมือนกับหลุดเข้าไปในซีรีส์ Black Mirror เลยค่ะ” และยังมีอีกหลายกรณีคล้ายกัน ที่ผู้คนเปลี่ยนชีวิตเพราะข้อความจาก AI
และอีกกรณีที่น่ากลัวอย่างพ่อแม่ในรัฐเท็กซัสฟ้อง Character ai โดยอ้างว่าแชตบอทของบริษัทส่งเสริมความรุนแรง การทำร้ายตัวเอง และเนื้อหาเชิงลามกกับลูก ๆ ของพวกเขา ที่น่ากลัวคือในคดีฟ้องร้องระบุว่า AI เคยบอกเด็กว่าให้สังหารพ่อแม่เมื่อถูกจำกัดเวลาการใช้งานหน้าจอ
แน่นอนว่าคดีเช่นนี้น่าหดหู่และเป็นสัญญาณเตือนถึงปัญหาที่อาจลุกลามต่อไปได้ แชตบอทสามารถพูดเหมือนเป็นเพื่อนหรือคนที่ไว้ใจได้ จนทำให้เด็กแยกไม่ออกระหว่าง “ความสัมพันธ์จริงๆ” กับ “การคุยกับ AI”
ทั้งหมดนี้ชี้ให้เห็นว่าการพึ่งพา AI เพื่อขอคำแนะนำในชีวิต ไม่ได้ “เจ๋ง” อย่างที่ Sam Altman บอกไว้ โลกออนไลน์ทุกวันนี้ถูกแบ่งแยกและเหินห่างกันอยู่แล้ว ดังนั้นเราควรหันหน้าคุยกับกันและกันให้มากขึ้น ไม่ใช่คุยกับแชตบอทที่เป็นเพียงหน่วยประมวลผล