Header Banner
Header Banner

[Article] SKG แคมเปญปกป้องผู้เล่นและกดดันให้บริษัทต่างๆ “เลิกลอยแพเกม” มียอดผู้ลงชื่อสนับสนุนทะลุ 1 ล้านคนแล้ว

[Article] SKG แคมเปญปกป้องผู้เล่นและกดดันให้บริษัทต่างๆ "เลิกลอยแพเกม" มียอดผู้ลงชื่อสนับสนุนทะลุ 1 ล้านคนแล้ว

.
ปัจจุบันโลกของวิดีโอเกมที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง จากอดีตที่เป็นการซื้อเกมมาเล่น เสียบตลับเกมลงเครื่องเป็นอันจบ มาสู่ยุคอินเตอร์เนตที่แผ่นเกมแทบไม่มีตัวตนอีกต่อไป แต่สิ่งที่ตามมาคือ หลายเกมในยุคนี้จำเป็นต้องพึ่งพาการให้บริการจากผู้จัดจำหน่ายหรือผู้พัฒนาระหว่างเล่นเกมอยู่เกือบตลอดเวลา แม้ว่าเกมนั้นจะเป็นเกมที่เล่นเพียงคนเดียวก็ตาม
.
และที่เป็นประเด็นนั่นคือ การที่เกมจำนวนมากที่ต้องเชื่อมต่อออนไลน์ “โดนปิดเซิร์ฟเวอร์” ทำให้ไม่สามารถเล่นได้อีกต่อไป ดังนั้นพอบริษัทผู้พัฒนาหรือผู้จัดจำหน่ายตัดสินใจปิดบริการเซิร์ฟเวอร์ของเกมนั้นๆ ไป ทำให้เราไม่สามารถที่จะเล่นเกมนั้นได้อีกตลอดกาล แม้ว่าเราจะจ่ายเงินซื้อเกมนั้นมาเล่นอย่างถูกต้องก็ตาม ต่างจากการเล่นเกมสมัยก่อน ที่แม้บริษัทผู้พัฒนาปิดตัวไปแล้ว ตราบเท่าที่เรายังมีเครื่องเกมและแผ่นเกมอยู่กับตัว เราก็ยังเล่นมันในฐานะเจ้าของได้เสมอ
.
ความกังวลนี้ส่งผลและจุดประกายให้เกิดแคมเปญชื่อ Stop Killing Games (SKG) ซึ่งมุ่งมั่นที่จะปกป้องสิทธิ์ของผู้บริโภคและอนาคตของวิดีโอเกม โดยเรียกร้องให้ออกกฎหมายบังคับให้ผู้จัดจำหน่ายเกมวิดีโอต้องมั่นใจว่า เกมยังคงสามารถเล่นได้ต่อไปได้ แม้ว่าจะมีการปิดบริการเซิร์ฟเวอร์ออนไลน์หรือเลิกกิจการไปแล้วก็ตาม
.
จุดกำเนิด Stop Killing Games ต้องย้อนไปต้นปี 2024 เกม “The Crew” เกมแข่งรถออนไลน์ของ Ubisoft ประกาศยุติให้บริการ ซึ่การประกาศนี้สร้างความตกใจให้กับผู้เล่นอย่างมาก เนื่องจาก The Crew เป็นเกมที่ “ต้องเชื่อมต่อออนไลน์ตลอดเวลา” แม้ว่าผู้เล่นจะเล่นในโหมดเล่นคนเดียวก็ตาม ดังนั้นเมื่อเซิร์ฟเวอร์ถูกปิด เท่ากับว่าผู้เล่นที่ซื้อเกมนี้ไปแล้วไม่สามารถเล่นเกมได้อีกต่อไป
.
การกระทำของ Ubisoft ได้รับการวิพากษ์วิจารณ์ (ด่า) อย่างหนัก โดยเฉพาะจาก Ross Scott ยูทูบเบอร์และนักวิจารณ์เกมชื่อดังจากช่อง Accursed Farms คุณ Ross ได้ออกมาประณามการกระทำดังกล่าวว่าเป็น “การทำลายสิทธิ์ของผู้บริโภค” และ “ทำลายมรดกทางวัฒนธรรม” และคือการทำลายเกมอย่างถาวร
.
คุณ Ross ได้ตัดสินใจเริ่มแคมเปญ Stop Killing Games ขึ้นมา โดยจุดประสงค์หลักคือการสร้างความรู้และกดดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรมเกม โดยมีเป้าหมายสูงสุดคือการออกกฎหมายบังคับให้ผู้จัดจำหน่ายเกมวิดีโอต้องมั่นใจว่าเกมของพวกเขายังคงสามารถเล่นได้ต่อไปได้ แม้ว่าจะมีการปิดบริการเซิร์ฟเวอร์ออนไลน์หรือเลิกกิจการแล้วก็ตาม
.
แนวคิดของแคมเปญอยู่บนพื้นฐานที่ว่า หากผู้เล่นได้ซื้อเกมไปแล้ว ก็ควรมีสิทธิ์ที่จะเข้าถึงและเล่นเกมนั้นๆ ได้ตลอดไป ไม่ใช่แค่ตามที่บริษัทเป็นผู้กำหนด โดยเสนอวิธีแก้ปัญหาเรื่องนี้ เช่น การเพิ่มโหมดออฟไลน์, การออกแพตช์ที่ทำให้เกมทำงานได้โดยไม่จำเป็นต้องเชื่อมต่อเซิร์ฟเวอร์หลัก หรือการอนุญาตให้มีเซิร์ฟเวอร์ส่วนตัวที่สามารถดูแลโดยชุมชนผู้เล่น เป็นต้น
.
แคมเปญ Stop Killing Games ได้รับการตอบรับอย่างล้นหลามจากผุ้เล่นอยางรวดเร็ว เพราะหลายๆคนก็รู้สึกว่า การที่เกมที่รักไม่สามารถเล่นได้อีกต่อไปหลังบริษัทเกมปิดตัวก็ดูจะไม่แฟร์ หลังจากจ่ายเงินซื้อเกมมาแล้ว เช่น The Crew ที่เป็นตัวจุดประกายเรื่องนี้ รวมถึงเกมในอนาคตที่อาจจะเจอชะตากรรมเดียวกัน
.
นอกจากคุณ Ross แล้ว ผู้มีอิทธิพลในวงการเกมหลายรายได้ออกมาสนับสนุนแคมเปญนี้ อย่าง PewDiePie หรือ Felix Kjellberg อดีต Youtuber ชื่อดังที่ตอนนี้เกษียณตัวเองไปอยู่ญี่ปุ่นกับครอบครัวแล้ว ก็ยังออกมาอธิบายถึงความสำคัญของแคมเปญนี้และสนับสนุนให้ทุกคนไปลงชื่อกับ Stop Killing Games ทำให้มีผู้ชมได้รับรู้ถึงความสำคัญของเคมเปญนี้มากขึ้น และกลายเป็นประเด็นที่ได้รับการพูดถึงในวงกว้าง จนล่าสุดมีผู้ลงชื่อทะลุ 1 ล้านรายชื่อเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
.
แน่นอนว่าแค่รณรงค์ยังไม่พอ ความสำเร็จของแคมเปญนี้คือการรณรงค์ผ่าน European Citizens’ Initiative (ECI) ซึ่งเป็นช่องทางที่พลเมืองของสหภาพยุโรปสามารถใช้เพื่อเสนอเรื่องที่ต้องการให้คณะกรรมาธิการยุโรปพิจารณาและดำเนินการทางกฎหมายได้ ซึ่งแคมเปญ Stop Killing Games ได้ยื่นคำร้อง ECI โดยมีข้อเรียกร้องหลักให้มีการคุ้มครองสิทธิ์ของผู้บริโภคในด้านดิจิทัล โดยเฉพาะวิดีโอเกม
.
และเพราะว่าสามารถล่าลายเซ็นของประชาชนจากสมาชิกสหภาพยุโรปได้มากกว่า 1 ล้านรายชื่อเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จึงหมายความว่าคณะกรรมาธิการยุโรปจะต้องพิจารณาข้อเสนอและจัดการประชุมสาธารณะในรัฐสภายุโรปเพื่อหารือเกี่ยวกับประเด็นนี้ นี่คือจุดเปลี่ยนที่สำคัญที่ทำให้แคมเปญนี้ก้าวจากการเป็นเพียงการเคลื่อนไหวของผู้บริโภคไปสู่การเป็นประเด็นที่ต้องได้รับการพิจารณาในระดับนโยบายของยุโรปด้วย
.
อ่านมาถึงตรงนี้ หลายคนก็คงจะคิดว่า อ้าว มันก็เป็นเรื่องที่ดีนี่นา แต่แคมเปญก็ไม่ได้ปราศจากข้อโต้แย้งและมุมมองที่แตกต่างเสียทีเดียว เพราะในทางฝั่งผู้พัฒนาหรือผู้ให้บริการบางรายได้แสดงความกังวลเกี่ยวกับความเป็นไปได้ในการนำข้อเสนอของแคมเปญไปปฏิบัติจริงเช่นกัน
.
ตัวอย่างเช่นคุณ Jason Thor Hall หรือ Pirate Software ซึ่งเป็นนักพัฒนาเกมอิสระและสตรีมเมอร์ ได้ออกมายอมรับว่าปัญหาการปิดเซิร์ฟเวอร์เป็นเรื่องจริง แต่ก็แย้งว่าข้อเสนอของแคมเปญอาจ “กว้างเกินไป” และ “ไม่ตรงกับความเป็นจริง” โดยเฉพาะกับเกมขนาดเล็กและสตูดิโออินดี้
.
คุณ Jason และนักพัฒนาบางรายให้เหตุผลว่า การบังคับให้เกมทุกเกมมีโหมดออฟไลน์หรือรองรับเซิร์ฟเวอร์ส่วนตัว อาจสร้างภาระทางกฎหมายและเทคนิคที่ไม่สามารถแบกรับได้ การพัฒนาและการดูแลรักษาระบบดังกล่าวต้องใช้ทรัพยากรบุคคลและเงินทุนจำนวนมาก ซึ่งอาจเป็นอุปสรรคต่อการสร้างสรรค์นวัตกรรมและอาจส่งผลเสียต่ออุตสาหกรรมเกมโดยรวม โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับบริษัทขนาดเล็กที่ไม่มีงบประมาณเหมือนบริษัทใหญ่ๆ
.
จนถึงตอนนี้ก็ยังมีการถกเถียงกันต่อ แต่ที่แน่ๆ ในอนาคตจะต้องมีการหารือและการประนีประนอมระหว่างทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ทั้งผู้บริโภค นักพัฒนาเกม และหน่วยงานกำกับดูแล เพราะเป้าหมายของ Stop Killing Games ไม่ใช่การสร้างภาระที่ไม่สมเหตุสมผลให้กับอุตสาหกรรมเกม แต่เป็นการหาวิธีที่ยั่งยืนเพื่อให้มั่นใจว่าเกมที่ผู้คนซื้อไปแล้วจะไม่ถูก ”ปลิดชีพ” ทิ้งอย่างไร้เหตุผล และมรดกทางวัฒนธรรมของเกมจะยังคงอยู่กับผู้เล่นต่อไป ในวันที่ผู้พัฒนาไม่อยุ่แล้วก็ตาม
——————————-
Silver and Blood ผลงานเกมรูปแบบสวมบทบาทพร้อมธีมโกธิกแวมไพร์ใหม่ล่าสุดจาก MOONTON Games ได้เปิดให้ทดสอบรอบ Open Beta Test แล้ววันนี้ ทั้งบน Apple Store, Google Play และ Windows PC

Source: https://www.facebook.com/sheapgamer/posts/pfbid02XRzHS8ZWSs1avWGnepwjhk8jEVKYTKnmM1HhRfhATGDeG3Fnk2XccoeKPLAZKdWwl

เพิ่มเติม