คุณ Bob Iger ประธาน Disney ออกมาพูดถึงการต่อสู้ในตลาดสตรีมมิ่งภาพยนตร์ของทางบริษัทในการประชุมผู้ถือหุ้น โดยยอมรับว่า ทางบริษัทก้าวผิดพลาดไปบ้างในแนวทางช่วงต้นของทางบริษัท
.
โดยคุณ Iger ขอเป็นผู้รับผิดชอบต่อการขาดทุนในช่วงที่เปิดตัว Disney+ หรือบริการรายเดือนดูภาพยนตร์ของทาง Disney และยอมรับว่า กลยุทธ์ในการสร้างเนื้อหาคอนเทนต์ในเชิงรุก โดยเน้นที่ปริมาณมากกว่าคุณภาพ จนทำให้ “มีอะไรให้ดูเยอะเกินไป” รวมกับการบริหารการเงินผิดพลาด ส่งผลให้ทางบริษัทขาดทุนไปมากถึง 4,000 ล้าน USD
.
ซึ่งเขายังพูดถึงความสัมพันธ์อันตึงเครียดกับคุณ Bob Chapek ประธานบริษัท Disney คนก่อน โดยวิพากษ์วิจารณ์การตัดสินใจของคุณ Chapek ในช่วงที่ดำรงตำแหน่ง ในการบริหารการเงินแยกในการสร้างเนื้อหาคอนเทนต์ที่ตัวเองจัดจำหน่าย ส่งผลให้เกิดการไม่เชื่อมโยงกันและเกิดปัญหามากมายกับ Disney+
.
นับตั้งแต่คุณ Iger กลับมารับตำแหน่งประธานบริษัท เขาได้พลิกเปลี่ยนแผนใหม่โดยสิ้นเชิง โดยมีองค์ประกอบสำคัญคือ การควบคุมการตัดสินใจด้านสร้างสรรค์ให้สอดคล้องกับการใช้งบประมาณ ซึ่งเรื่องนี้จะทำให้มั่นใจว่า ทางบริษัทจะเน้นที่การสร้างเนื้อหาที่มีคุณภาพที่จะทำให้ผู้ชมประทับใจ
.
ซึ่งคุณ Iger ยังย้ำถึงความสำคัญของการจัดสมดุลระหว่างจำนวนเนื้อหาคอนเทนต์และคุณภาพ โดยแสดงความนับถือไปยัง Netflix ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งคู่แข่งที่สามารถส่งมอบเนื้อหาคอนเทนต์ที่ทำให้ผู้ชมอยากมีส่วนร่วมได้อย่างต่อเนื่อง และ Disney+ ก็จะต้องพยายามเพื่อทำให้ได้ในระดับเดียวกัน
.
นอกจากนี้เขายังกลับมาประเมินแนวทางของ Disney เกี่ยวกับรายการทีวีแบบดั้งเดิมด้วย แม้ว่าสื่อรูปแบบนี้มีข้อจำกัดในแง่ของการเติบโตในอนาคต แต่เขามองว่าแนวทางรายการทีวีแบบเส้นตรง คือเครื่องมือที่มีค่าในการให้ผู้บริโภคมีส่วนร่วม และด้วยกลยุทธ์การรวมรายการทีวีแบบดั้งเดิมด้วยแพลตฟอร์มสตรีมมิ่ง จะทำให้ Disney สามารถสร้างประสบการณ์ความบันเทิงที่ครอบคลุมมากขึ้นด้วย
.
หรือพูดได้ว่า Disney ที่อยู่ภายใต้การคุมบังเหียนของคุณ Iger จะมีแนวทางและมาตรการในการทำบริการสตรีมมิ่งมากขึ้น โดยเน้นการสร้างเนื้อหาคอนเทนต์ที่มีคุณภาพ และใช้ประโยชน์จากทั้งสื่อแบบดั้งเดิมและดิจิทัล โดยมุ่งเป้าว่า จะกลับมายังตำแหน่งผู้นำของวงการบันเทิงที่เติบโตอย่างต่อเนื่องอีกครั้ง
[News] CEO ยอมรับ Disney+ ช่วงแรก ขาดทุนยับ 4 พันล้าน USD เพราะเน้นปริมาณมากไป จนละเลยคุณภาพ
